วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560

Tsundoku ภาวะซื้อหนังสือมาแล้วไม่ได้อ่าน (ดองหนังสือ)




ในช่วงงานหนังสือ เราจะเห็นภาพคนหลายๆคนที่ซื้อหนังสือแบบเป็นตั้งๆ ลากกระเป๋าเดินทาง ... จากนั้นผ่านไปหลายเดือน จนจะถึงงานหนังสือครั้งถัดไปแล้ว ก็ยังอ่านไม่จบอยู่ดี
แต่ก็ยังซื้อหนังสือใหม่ๆมาเพิ่มอยู่ดี


มันมีชื่อเรียกครับ

Tsundoku ... เป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลหมายถึงการเสาะหาหนังสือหรือเอกสารมาอ่าน ... จากนั้นกองทิ้งไว้ ไม่ได้อ่าน (มาจากคำ อ่านหนังสือ + หาของมาเตรียมไว้ภายหลังและจากไป)
https://en.wikipedia.org/wiki/Tsundoku
ถือเป็นคำที่ตรงไปตรงมาที่สุดกับพฤติกรรมนี้ เทียบเท่ากับที่คนไทยใช้คำว่า "ดองหนังสือ"

ส่วนในภาษาอังกฤษไม่ได้มีคำเฉพาะเสียทีเดียว ... โดยคำที่ตรงที่สุดก็จะเป็น Book Buying addiction : เสพติดการซื้อหนังสือ ซึ่งชื่อเน้นไปที่การซื้อ ... แต่ว่ากลุ่มที่สนใจเรื่องนี้ก็จะบ่นเหมือนๆกันคือ ชอบซื้อมาแต่ไม่ได้อ่าน
แต่แม้ว่าทางกลุ่มที่ใช้ภาษาอังกฤษจะไม่มีคำเฉพาะถึงการซื้อหนังสือมาดอง แต่ว่าปัญหานี้ก็มีอยู่จริงถ้าเราค้นหาในอินเตอร์เน็ทก็จะพบว่ามีคนมีปัญหานี้มากมาย
ทำไมคนเราบางคนจึงชอบซื้อหนังสือแต่ไม่อ่านหรืออ่านไม่จบ
1. เรากลัวว่าเราจะไม่เจอหนังสือนี้อีก (ตามธรรมชาติ)
หลายครั้งเราเจอหนังสือที่เราสนใจ ไม่แน่ใจว่าจะซื้อดีไหม ... จากนั้นเมื่อกลับไปหาอีกก็ไม่เจออีกแล้ว
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ชอบเก็บสิ่งของ เพื่อเตรียมตัวไว้สำหรับอนาคต
ซึ่งความรู้สึกที่ว่าได้เจอบางสิ่งบางอย่างแล้วไม่ได้เก็บไว้ จากนั้นเมื่ออนาคตมาเราต้องใช้แต่ไม่มี มันจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างมากๆ
บางคนจึงมีความอยากซื้อทันทีที่เห็นหนังสือที่รู้สึกถูกใจ

2. เรากลัวว่าเราจะไม่เจอหนังสือนี้อีก (เพราะสำนักพิมพ์ไม่พิมพ์เพิ่ม)
ในกลุ่มนักอ่านหนังสือบางประเภท จะรู้กันดีว่ามีหนังสือบางกลุ่มที่เมื่อพิมพ์ออกมาแล้วมักจะไม่มีโอกาสได้พิมพ์อีกเป็นครั้งที่ 2 ...
และอาจจะไม่มีทางเจอมันอีกเลยเพราะเฉพาะกลุ่มจนกระทั่งร้านหนังสือใหญ่ๆไม่อยากนำมาขาย
ดังนั้นกลุ่มนักอ่านกลุ่มนี้จะซื้อหนังสือพวกนี้มาตุนไว้


3. เราอยากได้ความสุขจากการซื้อ
คนเรามีความสุขเมื่อได้เลือก และได้จ่ายเงิน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกมีอำนาจและควบคุมชีวิตเราเองได้ บางคนจะรู้สึกดีเมื่อเห็นหนังสือที่ตนซื้อมา (คล้ายๆกับคนที่ชอบซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับมาเก็บ)


4. เรามีความสุขกับการจินตนาการสิ่งที่จะได้จากการอ่านหนังสือ
บางคนอยากพัฒนาตนเอง ก็จะซื้อหนังสือพัฒนาตนเองมาเก็บไว้ และคิดว่าเมื่อได้อ่านแล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
บางคนเห็นไอดอลของตนซื้อหนังสือมาอ่าน ตนอยากเก่งแบบนั้นบ้าง จึงหาหนังสือมาดองไว้กะว่ามีเวลาจะอ่าน จะได้เก่งแบบนั้นบ้าง
ข้อที่ทำให้แตกต่างกันคือ
ถ้าเรา"มีความสุขกับการจินตนาการว่าจะได้ประโยชน์จากหนังสือ" มีมากกว่า "ความตั้งใจได้ประโยชน์จากหนังสือ"
ความอยากอ่านของเราจะลดลงเพราะเราได้ความสุขจากการซื้อไปแล้ว


5. สิ่งที่ทำให้เราอยากซื้อนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ตัวของเราตอนที่ซื้อ เป็นคนละอารมณ์ความรู้และความรู้สึกกับตัวเราในตอนนี้
บางเรื่องเป็นเรื่องหายากในอดีต เราจึงอยากอ่าน ... แต่เวลาผ่านไป คนอ่านเอามาเขียนต่อมีเยอะ เราก็ลดความอยากอ่าน
บางเรื่องเป็นนิยาย เราเจอเพื่อนสปอย เราก็ไม่อยากอ่าน


6. ไม่มีเวลาแต่เราหวังว่าเราอยากจะอ่าน
ตรงไปตรงมา คือเราให้เวลากับอย่างอื่นมากกว่า
และเราหวังว่าเมื่อมีเวลาจะแบ่งให้ เราก็จะอ่านหนังสือ
... และเมื่อเรายังเห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่า เราก็จะไม่แบ่งเวลาให้การอ่านหนังสือ ... ทำให้เราไม่อ่านสักที


7. อยากให้คนอื่นเห็นเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
ซื้อมาถ่ายปกอัพ / ซื้อมาเป็นเครื่องประดับบ้าน
(จริงๆข้อนี้ไม่นับ เพราะแบบนี้คือเราไม่ได้ตั้งใจจะอ่านมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว)

ผลของการ"ดองหนังสือ"ที่มีต่อเรา
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงมาก แต่การดองหนังสือไว้มากๆก็อาจจะไม่ดีกับตัวของเรา

1. ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตนเอง

การ"ซื้อ"หนังสือ จะทำให้เรารู้สึกว่าเราได้สัญญากับตนเองว่าจะอ่าน
พอเราไม่ได้อ่าน ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับเราโกหกตนเอง ผิดสัญญากับตนเอง ... บางคนจะเกิดความรู้สึกด้อยค่า อาย ไม่พอใจตัวเอง หรือลดความรู้สึกเคารพในตัวตนของตนเอง

2. มีผลต่อความสัมพันธ์
หนังสือเต็มบ้าน แย่งที่เก็บของของคนอื่น
และถ้ามีคนมาต่อว่าว่า"ซื้อมาแต่ไม่ยอมอ่าน"
มันก็จะเป็นการเปิดบาดแผลในข้อ 1

แล้วเราจะทำอย่างไรดี...
วิธีแก้ไข 
 
1. ก่อนซื้อทุกครั้ง หาสาเหตุของการซื้อก่อน ... และตั้งกติกา
- ถ้าคุณซื้อเพราะต้องการคุณค่าจากการอ่าน - ให้ตั้งใจ ตั้งกฎกับตนเองเลยว่าจะอ่านมันตอนไหนยังไง
- ถ้าคุณตั้งใจจะซื้อ เพราะมีความสุขจากการซื้อ แต่คิดได้ว่าไม่ได้อยากอ่าน ก็ยั้งๆไว้นิดก่อนซื้อ
- ถ้าตั้งใจจะซื้อ เพื่ออัพลงSocial ... ไปที่ร้านหนังสือ ถ่ายปกก็พอ


2. เช่าหนังสือ
คนจำนวนไม่น้อย อ่านหนังสือรอบเดียวแล้วไม่กลับมาอ่านอีก
การเช่าหรือยืม จะเป็นการกำหนดเวลาไปในตัว / เสียเงินไม่มาก / และท้ายที่สุดเราไม่เปลืองที่เก็บ


3. หาเวลาบังคับอ่านหนังสือในแต่ละวัน ไม่อ่านขาดและไม่อ่านเกินเวลาทำกำหนด
หาเวลา 15 นาที ที่จะไม่ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือ
คนส่วนมากที่ไม่มีเวลา จริงๆมีเวลา แต่เขาให้ความสำคัญกับการอ่านไม่มากพอ ...
หรือบางคนอาจจะไม่มีเวลาจริงๆ เพราะว่าการส่องเฟซเพื่อน การอ่านข่าวเรื่องทั่วไป ซุบซิบดารา ดูบอล ดูหนัง ดูละคร ดูเกมโชว์ มันสำคัญกว่าการอ่านหนังสือสำหรับคนๆนั้น
คืออย่าเข้าใจว่าที่ว่ามาทำไม่ได้นะ แต่อยากให้เรียงความสำคัญกับตนเอง ... ว่าเราเห็นอะไรสำคัญกว่า (รอบๆตัว มีคนหลายคนที่ให้ความสำคัญกับการดูละครและเกมโชว์มากกว่าการอ่านหนังสือ เพราะสำหรับชีวิตเขา การดูละคร มีผลต่อรายได้มากกว่าที่การอ่านหนังสือจะทำได้)

สำหรับคนที่คิดว่าอ่านหนังสือสำคัญ แบ่งเวลาไว้ 15 นาที แล้วอ่านทุกวันติดกันสักเดือนนึงไม่ต้องอ่านเกิน15นาที ... อย่าอ่านสะสมแล้วบอกตนเองว่าวันนี้ไม่อ่านเพราะเมื่อวานอ่านแล้ว
ทำจนเป็นนิสัยสักเดือน แล้วตัดสินใจเองว่าจะอ่านต่อยังไงหรือไม่


4. อ่านอย่างมีจุดหมาย
ขีดเส้น highlight จดโน็ตย่อ
มนุษย์เราไม่มีทางจำทุกอย่างได้หมด ... ยังไงก็ต้องจด ยังไงก็ต้องบันทึก เพื่อการกลับมาอ่านใหม่หรือหาข้อมูลซ้ำจะได้ทำได้ง่าย
การทำโน็ตย่อจะทำให้เรารู้สึกว่าเราอ่านแล้วได้อะไรบางอย่างกลับมา ไม่รู้สึกสูญเปล่า จะได้อ่านใหม่


5. ซื้อEbook / ซื้อออนไลน์ /ซื้อมือสอง
การทำในข้อนี้ จะช่วยลดตัวกระตุ้นความอยากซื้อเพราะกลัวว่าจะหาซื้ออีกไม่ได้
การเข้าไปดูในออนไลน์จะช่วยให้เราเห็นว่า จริงๆหนังสืออาจจะไม่ได้หายากอย่างที่เรากลัว


เป็นแบบนี้ผิดปกติหรือไม่ จะเป็นโรคจิตไหม

เวลาคุยถึงเรื่องนี้ จะมีคนชอบไปอ้างถึงภาวะ Bibliomania
คือคำว่า Bibliomania เป็นอาการทางจิตในกลุ่มย้ำคิดย้ำทำ ที่มีความอยากได้หนังสืออย่างแรงกล้า ถ้าไม่ได้จะมีความรู้สึกทุกข์ทรมาน ต้องซื้อหรือขโมยหนังสือ ... และจะซื้อแม้ว่าจะมีปัญหาทางการเงิน ... เอาหนังสือมาเก็บไว้จนมีปัญหาเรื่องพื้นที่ หรือทะเลาะกับคนในครอบครัว .... หากเป็นระดับนี้ต้องรักษา

การที่คนเอาคำว่า Bibliomania มาใช้โยงเข้ากับการ"ดองหนังสือ" ทั้งที่มันเป็นคนละเรื่องกัน เลยทำให้คนอ่านเข้าใจผิดไปจนถึงกังวลว่าจะเป็นโรคจิต ... หรือกังวลว่าคนใกล้ตัวกำลังเป็นโรคจิตโดยไม่รู้ตัว

Bibliomania คือการย้ำคิดย้ำทำเสาะแสวงหาหนังสือมาโดยก่อให้เกิดปัญหา ... ต่างจากการดองหนังสือ ที่เกือบทั้งหมดเป็นแค่การรักหนังสือ (Bibliophile) เพียงแต่เราไม่มีเวลาหรือไม่ได้อ่านมันเท่านั้นเอง

ถ้าไม่ได้ไปขโมยใครมา ไม่ได้ซื้อจนการเงินขัดสน ไม่ได้ซื้อแล้วไปสุมจนมีหนูมาขึ้นบ้าน ก็ไม่ต้องกังวลครับ ค่อยๆหาเวลาอ่านกันไปก็พอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น