วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

เตือน สูตรเซี่ยงจี๊ + เมล็ดลิ้นจี่ + น้ำซาวข้าว อันตรายกับคนไข้ไตวาย


เตือน สูตรเซี่ยงจี๊ + เมล็ดลิ้นจี่ + น้ำซาวข้าว อันตรายกับคนไข้ไตวาย




ผมได้เห็นฟอร์เวิร์ดเมล์ตำรา"ไตวายไม่ต้องล้างไต"นี้มาระยะหนึ่ง จริงๆมีคนไข้มาถามนานแล้ว แต่เห็นว่าไร้สาระพอสมควรและอันตรายในบางประเด็น ก็แนะนำไปตามจริง
จนหลังๆมีคนเอามาฟอร์เวิร์ดบ่อยๆ แชร์บ่อยๆ ก็เลยเขียนบอกไปแพลมๆ เอาคำตอบที่อาจารย์แพทย์ทางด้านไตที่ดูแลผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตจริงๆตอบไว้มาลง แต่ก็เฉยๆไป คนก็ยังแชร์เรื่องตำราบ้าบอนี่ต่ออยู่ดี
ล่าสุดมาปรี๊ดแตก ตรงที่คนที่ส่งต่อบอกว่าได้ผลไม่ได้ผลไม่รู้ แต่จะแชร์ เพราะมันคือการสร้างความหวังให้คนโรคไต และยังมีการบอกว่าการเอาเมล็ดลิ้นจี่+เซ่งจี้+น้ำซาวข้าว ไม่มีอันตรายกับคนที่ฟอกไตจากไตวาย!?!?!?

จะบอกว่าสูตรนี่มีความเสี่ยงต่ออันตรายนะครับ
ถึงตายได้
เหตุผล

คนที่ฟอกไตแบบต่อเนื่อง แปลว่าค่าการทำงานของไตลดต่ำลงเหลือต่ำกว่า 30%ของปกติ มีปัญหาในการขับของเสีย ขับน้ำ หรือขับเกลือแร่
คนเป็นโรคไต จะมีปัญหาเรื่อง ฟอสเฟตคั่ง - โปแตสเซี่ยมคั่ง - น้ำเกิน
โปแตสเซี่ยมคั่ง - หัวใจเต้นผิดจังหวะตายได้
น้ำเกิน - น้ำท่วมปอด หัวใจวายได้

เมล็ดลิ้นจี่ จัดอยู่ในกลุ่มยาจีนที่ช่วยลดอาการปวด อุดมโปแทสเซี่ยม ใช้ในคนที่ขาดโปแทสเซี่ยม และใช้ในการรักษาโรคของกระเพาะปัสสาวะ
ฤทธิ์ทางยาที่พอมีของมัน คือขับปัสสาวะอย่างอ่อน บ้างก็ว่าเป็นยาแก้ปวดได้

ไตหมู เซ่งจี้ แต่ละข้างหนักประมาณ 200กรัม มีโปแทสเซี่ยม 500มิลลิกรัม โซเดียม 300มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 500มิลลิกรัม

ถ้ากินตามสูตรที่ว่านี้ ต้องกินน้ำซาวข้าวจำนวน 2 ชาม (ราวๆ1ลิตร) กับน้ำที่ต้มเคี่ยวจากเม็ดลิ้นจี่7เมล็ด ไตหมูหนึ่งข้าง

คนที่ล้างไตฟอกไตอยู่ ปกติต้องระวังเรื่องการดื่มน้ำเข้าไปในปริมาณมากๆ เพราะเค้าต้องฟอกไตทุก2-3วัน ถ้าดื่มมากไปจะเกิดน้ำท่วมปอดได้
เกลือแร่ หากได้ไตหมูที่อุดมโปแทสเซี่ยมกับเมล็ดลิ้นจี่ซึ่งตัวเมล็ดก็อุดมโปแทสเซี่ยม .... ก็เกินไปกันใหญ่ (แม้ว่าจะแค่ต้ม ไม่ได้กินตัวเนื้อเซ่งจี้เข้าไป แต่ก็ต้ม2น้ำ ซึ่งดึงเอาแร่ธาตุออกมาได้มาก)

ถ้าหากโชคดี กินแล้วไม่เกิดอาการ ไปฟอกไตตามนัด ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าโชคไม่ดี ก็ถึงตายได้ ไม่ว่าจะจากน้ำเกิน หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ

*******************
แล้วสูตรที่ว่านี้มาจากไหน
สูตรที่ว่านี้ เมื่อก่อนผมเจอคนที่นำมาอ้างไว้

มีทั้งบอกว่าเป็นสูตรยาจีน
สูตรยาไทย
สูตรยาจากนครปฐม
มีคนที่อ้างว่าใช้แล้วได้ผล หรือมีคนที่ยืนยัน

จากการตรวจสอบเท่าที่ทำได้ในinternet ทุกคนที่ยืนยัน "ฟังเค้าเล่ามาอีก 1 ต่อ"
ไม่มีคนที่เป็นคนไข้โรคไตแล้วได้ผลจริง หายจริง มีผลเลือดจริงมายืนยัน
ไม่มีคนที่คนในครอบครัวเป็นไตวายต้องฟอกไต หายจริง มายืนยัน

คนไข้จริงที่ผมเคยเห็นเคยเจอ ไม่เคยมีคนที่กินแล้วหาย มีแต่ "เคยลอง" กับ "อยากลอง"
ที่อยากลอง ... ลองแล้วหาย ไม่เคยเจอ
ที่ลองแล้ว และหยุดฟอกไตได้ ไม่เคยเจอ

แล้วสูตรมันมาจากไหน
สูตรที่ว่านี้มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ เรื่อง 避免洗腎的秘方 หรือ เรื่องราวของผู้ป่วยฟอกไต
เป็นเมล์ที่เริ่มแพร่ในไต้หวันเมื่อ 7 ปีก่อน
จากนั้นเริ่มแพร่หลายมากขึ้นเพราะมีการส่งforwardเป็น slide power point
และต่อมามีคนเอาไปทำเป็นคลิปลงYoutube
เมื่ออ่านแล้วก็เลยพบว่า ... ตอนแรกเป็นเมล์จากไต้หวัน แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย ก็ค่อยๆโดนเปลี่ยนไป

บางอันก็อ้างสูตรแบบตำราไทย

บางอันก็อ้างเรื่องประสบการ
ณ์ตรงที่ปลูกลิ้นจี่ในบ้านและเสียดายที่ไม่รู้มาก่อน
แต่ไม่ว่าอันไหน ... เนื้อความถอดออกมาแล้วตรงกับฟอร์เวิร์ดเมล์ไต้หวันทั้งสิ้น

สรุปแล้วที่มา มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ไต้หวัน
ครับ
***********************

ปล.ใครมีประสบการณ์ตรง ไตวายถึงขั้นdialysisแล้ว ใช้สูตรนี้แล้วได้ผลจนหยุดฟอกไต ขอให้แจ้งด้วยครับ
ปอ. ไม่เอาผลเลือดดีขึ้นแต่ยังต้องฟอกไตนะครับ เพราะว่าเราไม่ใช้ค่าCreatinineและBUNที่ลดลงในคนที่ยังฟอกไตอยู่ มาประเมินการทำงานของไต

เจอคนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตสงสัยเส้นเลือดสมองแตก อย่ามัวเจาะนิ้วเจาะหู ถึงตายได้

เจอคนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตสงสัยเส้นเลือดสมองแตก อย่ามัวเจาะนิ้วเจาะหู ถึงตายได้

ช่วงนี้มีการแชร์ข้อความตามภาพ ... ซึ่งเป็นเรื่องที่แชร์กันทุกปี ปีละหลายรอบ



และก็ขอเตือนอีกรอบครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ว่า
***************************************************
อย่าทำตาม  อันตราย และบางรายอาจตายได้
***************************************************
1. เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก แยกด้วยอาการเพียงอย่างเดียวได้ยาก ถ้าเป็นน้อยๆมักแยกไม่ได้ แต่การรักษาแตกต่างกันมากชนิดคนละขั้ว หากรักษาผิดก็แย่ได้

2. หากเป็นเส้นเลือดสมองแตก สิ่งที่ต้องทำคือรีบพาคนไข้
ไปโรงพยาบาล เพราะว่าหากเลือดออกมากขึ้นเรื่อยๆและไม่ได้รับการรักษา อาจจะไปกดส่วนที่สำคัญของสมองจนหยุดหายใจและเสียชีวิตได้

3. หากเป็นเส้นเลือดสมองตีบ มีหลายแบบ
ไม่ว่าจะเป็น
3.1 ตีบชั่วคราว อาการผู้ป่วยจะเป็นอาการอัมพฤกษ์อัมพาต เป็นชั่วคราว เป็นราวๆ1ชั่วโมง จากนั้นก็จะ"หายเอง" "หายสนิท"เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ซึ่งถ้าไม่ไปหาหมอรับยา ก็มีโอกาสเป็นซ้ำและอาจจะเป็นแบบตีบจริงๆไม่หาย)
3.2 ตีบน้อยๆ อาการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ไม่หายสนิทใน1ชั่วโมง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆก็จะดีขึ้น (เช่นบางคนแขนขาอ่อนแรงขยับตัวไม่ได้เลย แต่ผ่านไป1วันลุกพอได้ขยับพอได้ พอสัก1สัปดาห์กลับมาเดินได้ พอ 1 ปีหายเกือบปกติ)
3.3 ตีบมากๆ เป็นการตีบที่เส้นเลือดขนาดใหญ่ กลุ่มนี้มักจะเป็นรุนแรง พอเป็นแล้วไม่ค่อยดีขึ้นเพราะส่วนที่ตีบตันใหญ่มาก บางรายเกิดสมองบวมหรือเส้นเลือดในสมองแตกตามมา เวลาหายก็มักไม่หายสนิท ในกลุ่มที่ตีบมากๆนี้อาจจะได้ประโยชน์จากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งต้องพาไปโรงพยาบาล

ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าเวลาคนล้มลงไปเป็นอัมพาต เขาเป็นใน3.1 3.2 หรือ 3.3

ถ้าหากเขาเป็น3.3 ตีบมากๆ เราต้องพาไปรพ.ให้เร็วที่สุด เพราะหมอจะต้องตรวจ เอาไปเข้าเครื่องสแกนสมอง (ควรไปถึงภายใน30-60นาทีหลังเกิดอาการ เพราะว่าจะสแกนสมองเสร็จกว่าจะย้ายนั่นนี่ กว่าจะให้ยา ก็อีกเป็นชั่วโมง)

การจะแยกว่าเป็นชนิดไหน แตกหรือตีบ ต้องใช้เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง

ตัวอย่างในเนื้อหาที่แชร์ คือคนไข้ในแบบ3.1 คือตีบชั่วคราว
คุณจะไปเจาะนิ้วเขา เขาก็หายเอง
คุณเต้นกัมนังสไตล์ต่อหน้า เขาก็หายเอง
คุณจะปล่อยยืนมองหน้าเฉยๆ เขาก็หายเอง

แต่ถ้าคนที่เป็นอัมพาตจากเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก คุณไปมัวเสียเวลาเจาะเลือดออกจากนี้ว จากนั้นพาไปโรงพยาบาลช้า

***คนไข้ตายได้***

ข้อความนี้เป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ ตั้งแต่สมัยที่ไม่มีFacebook เมื่อประมาณ 10-11 ปีก่อน อ้างข้อความจากอาจารย์ที่ทำงานในไต้หวัน และก็โดนพิสูจน์ไปหลายครั้งว่าโกหกผิดหลักการแพทย์

ขอร้องเถอะครับ อย่าทำแบบนี้เลย

ผมเคยเห็นคนไข้ที่เสียเวลาอันมีค่าไปแบบนี้หลายคน

คนไข้ที่เส้นเลือดสมองแตก และหยุดหายใจก่อนมาถึงโรงพยาบาลไม่กี่นาที ... ไม่กี่นาที แต่ก็พอที่จะทำให้สมองแย่ และถ้ามาเร็วกว่านั้นสัก5-10นาที คนไข้ก็อาจจะรอด

คนไข้ที่เส้นเลือดสมองตีบ แต่ไม่ได้มารพ. รอจนกระทั่งช่วงเวลาอันมีค่าที่เขาอาจจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติหมดไป ... ทำให้พอมาโรงพยาบาล หมอก็ให้ยาได้เพียงระดับหนึ่ง จากคนที่อาจจะกลับมาเดินเหินได้ปกติ กลายเป็นต้องนอนอยู่กับเตียงไปตลอดชีวิต

อย่าทำร้ายกันด้วยแชร์แบบนี้เลยครับ